007 No Time to Die

007 No Time to Die พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ

007 No Time to Die 5 ปีหลังจากลุยภารกิจเดือด เปิดโปงองค์กร SPECTRE บอนด์โบกมือลา MI6 ไปใช้ชีวิตสงบสุขอย่างที่เคยวาดฝันไว้มานานกับ Madeleine Swann
แต่แล้ว เขาก็ต้องหวนคืนสู่โลกจารกรรมอีกครั้ง เมื่อ Felix Leiter ได้ชวนเขาทำภารกิจลับ ช่วยนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกลักพาตัวไป โดยมหาวายร้ายอัจฉริยะ Safin พร้อมปล่อยแผนร้ายทลายโลก โดยมีมนุษยชาติเป็นเป้าหมายหลักปิดม่านบทบาท James Bond ของ Daniel Craig ได้อย่าง “สมภาคภูมิ” นอกจากจะเป็นบทสรุปเรื่องราวของหนังทั้ง 5 ภาคแล้ว มันยังเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่ช่วยเติมเต็มให้ 4 เรื่องก่อนหน้ามีความเมกเซนส์ และสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

007 No Time to Die

เรื่องย่อ

            เจมส์ บอนด์ (Daniel Craig) กำลังสนุกไปกับชีวิตอันเงียบสงบในจาไมก้า แต่ช่วงเวลาพักผ่อนนั้นก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เพราะ ‘เฟลิกซ์ เลเตอร์’ (Jeffrey Wright) เพื่อนเก่าจากซีไอเอ มาขอให้เขาช่วยทำงาน เป้าหมายคือช่วยชีวิตนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกลักพาตัวไป ซึ่งเหตุการณ์นี้ดูเลวร้ายกว่าที่คิดไว้ บอนด์ต้องเข้าไปเผชิญกับศัตรูลึกลับที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่สุดอันตรายเป็นอาวุธ

            สำหรับหนังภาคนี้เล่าเรื่องถึงเจมส์ บอนด์ ที่วางมือจากการเป็นนักสืบไปแล้ว และใช้ชีวิตอยู่ที่จาไมกา พร้อมกับคนรักอย่าง ‘ดร. เมเดอลีน’ (Léa Seydoux) จากภาคที่แล้ว ‘Spectre’ (2015) ที่ในภาคนี้จะได้เห็นความสัมพันธ์ของทั้งคู่แบบชัดเจนยิ่งขึ้น แต่สายลับบอนด์กับ ดร. เมเดอลีนที่กำลังพักผ่อนอยู่ที่อิตาลีกลับอยู่สุขได้ไม่นาน เพราะ ‘เฟลิกซ์ เลเตอร์’ (Jeffrey Wright) เพื่อนเก่าจากหน่วยซีไอเอ มาขอให้เขาไปช่วยตามหานักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย ที่ถูกลักพาตัวไปพัฒนาอาวุธเชื้อโรคร้ายแรง “โปรเจกต์ เฮราคลีส” (Project Heracles) ที่ ‘ซาฟิน’ (Rami Malek) เป็นเจ้าของในขณะที่เจมส์ บอนด์ ก็ต้องแก้ปัญหาหัวใจไปด้วย

No Time to Die

รีวิว

            รีวิวหนัง007No Time to Die ให้กลิ่นอายแบบหนังบอนด์ยุคคลาสสิกที่พาผู้ชมไปสนุกกับพล็อตเรื่องเวอร์วัง ทำให้เราแอบคิดถึงหนังบอนด์ในดวงใจอย่าง THE SPY WHO LOVED ME และมีความดิบโหดคล้ายหนัง 2 เรื่องของ Timothy Dalton รวมถึงความโรแมนติกแบบ ON HER MAJESTY’S SECRET SERVICE แต่ก็ไม่ลืมที่จะผสมผสานวิธีการเล่าแบบหนังบอนด์ยุคใหม่ พาหวนรำลึกถึงวีรกรรมยุค Craig ที่แฟน ๆ ต้องหลั่งน้ำตากันสักครั้งสองครั้ง

          ยิ่งไปกว่านั้น ผู้กำกับ Cary Joji Fukunaga ผู้มีผลงานสุดแหวกจนแอบเพี้ยนอย่าง TRUE DETECTIVE และ MANIAC ก็ได้หว่านลายเซ็นไว้ในบทภาพยนตร์ และสไตล์การกำกับอย่างชัดเจน มีความกล้าที่จะแปลกแตกแถว ทำผู้ชมเหวอครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ต้องตกใจว่าทำไมหนังถึงยาวกว่า 2 ชั่วโมง 43 นาที เพราะมันมีอะไรเกิดขึ้นเยอะมาก ๆ! แม้จะมีล้น ๆ เกิน ๆ ในช่วงองค์ที่ 2 ไปบ้าง แต่ต้องนับถือในการวางพล็อตให้น่าติดตามจนลืมหายใจตลอดทั้งเรื่อง

         ยังคงเก็บรายละเอียดและเอกลักษณ์ของหนังสายลับรหัส 007 จากหน่วย MI6 ในรัฐบาลอังกฤษไว้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น การเดินทางไปทำภารกิจในหลายประเทศทั่วโลก (ฉากเปิดในเมืองมาเทรา ของอิตาลี สวยมาก) รถหรูสุดคลาสสิก สายลับสาวสวย อุปกรณ์ไฮเทคจาก Q และการกอบกู้โลกจากวายร้ายอย่างไรก็ตาม

สิ่งที่ หนัง ต่างออกไปคือการแสดงให้เห็นถึงความมนุษย์ของ เจมส์ บอนด์ มากกว่าภาคอื่นๆ เมื่อเข้าต้องเผชิญกับหลากหลายสถานการณ์เหนือความคาดหมายราวกับขึ้นรถไฟเหาะ ได้สัมผัสทุกห้วงอารมณ์ทั้ง สุข เศร้า เหงา ได้รับความบาดเจ็บทั้งกายใจ

007
สรุป

ดูหนัง007No Time to Die ตอนจบของ SPECTRE บอนด์ได้เลือกทิ้งชีวิตพยัคฆ์ร้าย ขับ ASTON MARTIN DB5 หอบรักไปสร้างชีวิตใหม่ท่ามกลางอาทิตย์อัสดง จึงเลือกที่จะพาคนดูไปสำรวจชีวิตหลังจากนั้น สู่การเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ (เกือบจะ) เรียบง่าย ห่างไกลความวุ่นวาย สานฝันแฟน ๆ ให้ได้เห็นบอนด์สนุกกับชีวิต ช่างจ้อเล่นมุขเก่งขึ้นกว่าเดิม หลังจากอึมครึมเครียดติดต่อกันมาหลายภาค ที่ต้องพูดถึงคือเคมีคู่กัดกับสายลับ 00 คนใหม่เข้ามาแทนที่อย่าง NOMI รับบทโดย Lashana Lynch ที่อาจไม่ได้มีให้เราเห็นมาก แต่ทุกครั้งที่อยู่บนจอก็สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้เสมอ และอีกหนึ่งสีสันที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ คือ Paloma ตัวละครใหม่ที่รับบทโดย Ana De Armas หญิงสาวที่ออกมาสร้างโมเมนต์เพียงชั่วครู่ แต่ขโมยใจคนดูไปตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น ไม่เพียงแค่เธอจะได้โชว์ฝีมือการบู๊เข้าขั้นมืออาชีพเคียงคู่กับพยัคฆ์ร้ายยอดฝีมือ แต่เธอยังมาพร้อมอารมณ์ขัน และความโก๊ะ ที่ทำให้คนดูต้องอมยิ้มไปตาม ๆ กัน

รับชมตัวอย่างหนัง : 007 No Time to Die

ติดตามรีวิวหนังเพิ่มเติมได้ที่ :เว็บดูหนังยอดฮิต

ติดตามจัดอันดับหนังได้ที่ : 10 หนังแอ็คชั่น

รับชมหนังฟรีออนไลน์ได้ที่ : ดูหนัง007 No Time to Die